Social distancing มีผลกระทบต่อธุรกิจแปลภาษาหรือไม่
ตั้งแต่หลายประเทศประสบปัญหาใหญ่จากโรคระบาดไวรัส COVID-19 ส่งผลให้หลายกิจกรรมที่ต้องรวมกลุ่มกันต่างหยุดชะงักหรือหาวิธีปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา สถานที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมไปถึงลานกิจกรรมต่างๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ซึ่งแม้บางสถานการณ์อาจไม่ดีกับเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นผลดีในแง่ของการควบคุม โดยมีกลยุทธ์ในการป้องกันโรคติดต่อด้านสาธารณสุขที่เรียกกันว่า social distancing นี้เป็นทางเลือกหนึ่งที่ง่ายและส่งผลต่อความปลอดภัยของประชากรได้มากที่สุดทางหนึ่ง
นักระบาดวิทยาให้นิยามของ social distancing ว่าเป็นการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร เพื่อลดโอกาสที่ผู้คนจะพบปะกัน ทั้งในเชิงจำนวนและระยะเวลา โดยหวังว่าจะช่วยชะลอการแพร่กระจายของโรคระบาด ซึ่งผู้คนควรเลี่ยงพื้นที่แออัดเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ดี ผู้คนยังคงชินกับการออกไปใช้ชีวิตข้างนอกเป็นเสียส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหาร หรือกิจกรรมกีฬาต่างๆ แต่ทางผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำว่าถึงผู้คนจะยังไม่คุ้นชินกับการมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็ควรฝึกให้ตนเองรู้สึกชินทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคนรอบตัว และเพื่อช่วยกันลดภาวะความเสี่ยงในการกระจายของโรคระบาดนี้ด้วย
เมื่อเราทุกคนไม่เคยมีประสบการณ์ในเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แล้วเราควรทำอย่างไรเพื่อให้เป็นการปลอดภัยที่สุดในการรักษาตัวเองและคนรอบตัว และสถานการณ์เช่นนี้บริษัทต่างๆต้องรับมือกันอย่างไร โดยเฉพาะในมุมของบริษัทแปลภาษาและนักแปลที่คนส่วนใหญ่มองว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่?
Social distancing ที่ส่งผลเชิงธุรกิจ
ในแง่นี้คงเป็นแง่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะด้วยในแนวปฏิบัติของเกือบจะทุกบริษัทและทุกธุรกิจมักทำงานรวมกันในออฟฟิศ แน่นอนว่าหลังจากมาตรการนี้ออกมา หลายบริษัทที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจำเป็นต้องให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน หรือ work from home แทน การทำงานในรูปแบบ work from home นี้ไม่ได้พึ่งมามีกระแสเพียงเพราะผลกระทบจากโรคระบาด แต่ก่อนหน้านี้ในปี 2008 ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยมีวิกฤติเศรษฐกิจ Global Financial Crisis ซึ่งสัดส่วนของคนทำงานที่บ้านในอเมริกานั้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผลที่ตามมาไม่ใช่แค่บริษัทสามารถลดต้นทุนได้ แต่ตัวพนักงานเองก็ทำงานได้มากขึ้นด้วย จากการศึกษาของ Harvard Business Review พบว่าการทำงานที่บ้านนอกจากทำให้ตัวพนักงานทำงานได้งานมากขึ้นแล้วยังทำให้อัตราคนลาออกจากบริษัทลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อ่านมาถึงตรงนี้ คงสงสัยแล้วว่ามันส่งผลกระทบอย่างไรในแง่ธุรกิจทั่วไป แน่นอนว่าส่งผลอยู่แล้ว เมื่อพนักงานเริ่มมาตระหนักว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าบริษัทก็สามารถทำงานได้ แต่การทำงานที่บ้างนี้มีผลเสียที่แฝงอยู่ในตัวซึ่งคนอาจไม่ได้นึกถึง หนึ่งเหตุผลหลัก คือ พนักงานจะไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตลอดเวลา แต่หากพนักงานพึงตระหนักถึงความรับผิดชอบและตรงต่อเวลาอยู่เสมอมันอาจไม่ส่งผลเสีย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติได้ และอีกเหตุผลเมื่อพนักงานทำงานอยู่บ้านคนเดียวเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือต่อทีมลดลง เพราะเมื่อชินกับการแชทข้อความ การพูดคุยอันเป็นบทสทนาจริงอาจไม่ลื่นไหลเหมือนอย่างเคย และอีกปัจจัยหลักที่บริษัทพึงกังวลคือ การทำงานที่บ้านทำให้ธุรกิจไม่สามารถรักษาวัฒนธรรมขององค์กรเอาไว้ได้ กล่าวง่ายๆคือสังคมบริษัทและความเป็นกลุ่มก้อนจะค่อยๆตายไป
Social distancing กับธุรกิจแปลภาษา
หากกล่าวในแง่ของผู้ที่ทำงานในธุรกิจแปลภาษาอาจมองได้สองมุม หนึ่งคือตัวนักแปลอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่บริษัทแปลภาษามีทั้งนักแปลที่ทำงานจากที่บ้านและอีกส่วนทำงานในออฟฟิศ ส่งผลให้งานนักแปลที่ไม่ใช่ล่ามภาษาจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะงานแปลภาษาสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
เดิมทีแล้วงานแปลสามารถแจกจ่ายงาน และทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั้งหมด โดยจะมีหัวหน้าผู้ดูแลโปรเจ็คสำหรับแจกจ่ายงานนักแปล หรือมีการวางแผนทำ Project Management เพื่อควบคุมปริมาณงานและคุณภาพงานของนักแปล ส่งผลให้ธุรกิจการแปลภาษาไม่หยุดชะงัก แต่ในทางเดียวกันธุรกิจการแปลในส่วนของล่ามจะประสบปัญหาแทน เพราะงานสัมนาหรืออีเวนท์ต่างพากันหยุดตัวลงตามมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยกิจกรรมเหล่านี้ไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างเต็มตัว เช่น การประชุมสัมนา การออกบูธกิจกรรม การขายของและบริการ ซึ่งไม่เหมือนกับงานนักแปลที่สามารถทำงานผ่านระบบออนไลน์หรือแชทได้ สามารถประชุมผ่านสไกป์หรือสื่ออื่นๆได้ สามารถควบคุมการทำงานหรือมีการทำ PM ผ่านระบบได้และคนทำหน้าที่ PM นี้เองจะควบคุมการทำงานของพนักงานที่ work from home ดังนั้น การหยุดตัวลงของกิจกรรมเหล่านี้ส่งผลในแง่เชิงธุรกิจภาพกว้างมากกว่าการทำงานของพนักงานหนึ่งคน เพราะเนื่องจากโอกาสการเจรจาทางธุรกิจมีน้อยลง โอกาสที่บริษัทจะสามารถขายบริการให้กับลูกค้ารายใหม่ๆก็มีน้อยลงไปด้วย ดังนั้นธุรกิจการแปลภาษาต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้คงยอดลูกค้าไว้ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เดือดร้อนจนเกินไป และบริษัทคงต้องคิดหาทางออกในแง่ของจำนวณงาน เพื่อให้พนักงานหรือนักแปลภาษาในสังกัดยังมีงานทำอยู่เสมอ มิเช่นนั้นเองแล้วนักแปลในสังกัดที่ไม่สามารถหางานได้เองอาจได้รับผลกระทบที่เชื่อมโยงไปถึงการจ้างงานในอนาคตได้ในที่สุด
พนักงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมธุรกิจแปลภาษาอาจมองว่าตนไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะยังมีงานแปลป้อนเข้ามาเรื่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะบ่งชี้ได้ว่าธุรกิจการแปลเองไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโรคระบาดนี้เลย ทั้งนี้เพราะผู้ที่ควบคุมนักแปลอย่างคนทำ Project Management หรือทีมการตลาดรวมไปถึงผู้บริหารต่างพากันหาทางออกให้บริษัทในภาวะสถานการณ์เช่นนี้ เพื่อคงคุณภาพงานและบริการ รวมไปถึงเพื่อให้นักแปลในบริษัทนั้นยังมีงานทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งหากเป็นนักแปลรายเล็กที่หางานเอง ฉันก็ยังพอมองเห็นภาพว่าธุรกิจเกี่ยวกับภาษาจะยังไม่ตายลงง่ายๆ ตราบใดที่โลกยังคงหมุนไปด้วยภาษาและการสื่อสาร ธุรกิจแปลภาษาจะยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างแน่นอน และด้วยสถานการณ์ของโรคระบาดนี้หลายคนต้องตั้งคำถามอยู่แล้วว่าการมี social distancing เนื่องจากภาวะโรคระบาดนี้จะกินเวลาไปถึงเมื่อไร แน่นอนว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญท่านใดสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ เพียงแต่เขาสามารถพูดแนะนำได้ว่า ระยะเวลาเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติและสุขลักษณะของประชากรเอง หากทุกคนให้ความร่วมมือและปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน แนวโน้มการกระจายตัวของโรคระบาดต้องลดลงเป็นแน่
“ในตอนนี้ เรายังไม่สามารถตอบอะไรได้ แต่แน่นอนว่าเรากำลังอยู่ในแผนที่ที่ไม่มีการจำกัดกรอบ” กล่าวโดยนักระบาดวิทยา
ผู้เขียน
พรชนก วัฒนาณุฐการ (ปู)
ผู้ช่วยฝ่ายการตลาด