เสน่ห์ของการใช้ภาษาถิ่นที่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าอายอีกต่อไป
หากย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ในยุคที่อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยียังไม่แพร่หลาย การใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารนอกพื้นถิ่นของตัวเองอาจจะดูเป็นเรื่องที่ขัดเขินอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในภูมิภาคที่ใช้ภาษากลางเป็นการสื่อสารหลัก มากไปกว่านั้น คนที่ใช้ภาษาถิ่นสื่อสารยังถูกตีค่าทางสังคมลดลงแค่ด้วยสาเหตุที่ว่าเขาไม่พูดภาษากลาง คนในสังคมเมืองหลวงที่ใช้ภาษากลางสื่อสารกันเป็นหลักมักตีค่าผู้คนที่ใช้ภาษาถิ่นว่าเป็นคนบ้านนอก ทำให้คนต่างจังหวัดนั้นต้องพยายามใช้ภาษากลางให้ชินจนเป็นนิสัย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกตีค่าจากสังคมลดลงเพียงเพราะเขาใช้สำเนียงภาษาที่ต่างออกไป
ในมุมมองแง่อัตลักษณ์สำหรับผู้ที่ใช้ภาษากลางเป็นหลักนั้น อาจมองว่าการเลือกใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งในบริบทการใช้ภาษาใดๆ ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้อัตลักษณ์ของผู้พูดในฐานะปัจเจกบุคคลว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เป็นเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์ของชุมชนผู้ใช้ภาษาที่ผู้พูดเป็นตัวแทน รวมถึงกลุ่มผู้ฟังที่ใช้ภาษานั้นๆ
ดังนั้นเมื่อผู้พูดใช้ภาษาที่ผู้ฟังใช้ระบุอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของตนเอง ก็เปรียบเหมือนว่ามีการขีดเส้นรอบวงเพื่อนับรวมผู้พูดผู้ฟังไว้เป็นพวกเดียวกัน (Inclusiveness) และในขณะเดียวกัน ก็กั้นคนจำนวนหนึ่งที่อยู่นอกเส้นรอบวงนั้นออกไปด้วย (Exclusiveness)
แต่แล้วใครจะไปรู้ได้ว่าในไม่กี่ปีภายหลังมานี้ ค่านิยมได้เปลี่ยนไปแล้ว ต้องกล่าวว่าสังคมมีการเปิดกว้างทางภาษาและวัฒนธรรมมากขึ้นจากการใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยี ส่งผลให้การใช้ภาษาถิ่นมีผลในทางบวกมากขึ้น หนุ่มสาววัยรุ่นยุคใหม่ได้ทำให้การใช้ภาษาถิ่นดูมีสีสันและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในสังคมวงกว้าง ทั้งยังเป็นการลดทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนที่ใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารเป็นหลักอีกด้วย
ภาษาถิ่นกับการผสมผสานที่ลงตัว
เสน่ห์ที่สำคัญของภาษาถิ่น นอกจากจะใช้สื่อความหมายกับบุคคลที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกันให้เข้าใจตรงกันแล้ว ภาษาถิ่นยังมีความโดดเด่นในการช่วยรักษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของท้องถิ่นนั้นๆ ไว้ด้วย ซึ่งในยุคปัจจุบันคนท้องถิ่นส่วนใหญ่เริ่มมีการนำภาษาถิ่นมาพูดผสมหรือสลับกับภาษากลางมากขึ้น เราอาจมองได้สองแง่ แง่หนึ่งคือ เรากำลังทำให้ภาษาถิ่นนั้นดิ้นจากภาษาต้นฉบับของมันและอาจเพี้ยนไปได้ในที่สุด แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้น เราสามารถมองได้ว่านี่เป็นจุดที่จะทำให้คนต่างถิ่นได้มีโอกาสเรียนรู้บางคำหรือบางประโยคในภาษาถิ่นของเรา และนำไปปรับใช้กับการพูดพร้อมภาษากลางได้ อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า หนุ่มสาววัยรุ่นในยุคสมัยนี้ ได้มีการนำภาษาถิ่นมาผสมใช้กับภาษากลางมากขึ้นในโลกออนไลน์ ทำให้ภาษาเหล่านี้แพร่หลายออกไปเป็นวงกว้าง จนบางคำเกิดเป็นศัพท์แสลงที่ใช้จนคุ้นหูก็มี อย่างเช่นคำว่า “อิหยัง” ในภาษาอีสานที่แปลว่า “อะไร” ก็ได้มีการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่มักเอามาใช้อธิบายหรือแสดงออกทางด้านอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความงุนงง จนเป็นศัพท์ที่ติดปากติดหูกันว่า “อิหยังวะ”
ต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า จริงๆแล้วคำว่า “อิหยังวะ” ไม่ใช่คำหยาบคายหรือการแสดงออกทางคำพูดที่ไม่สุภาพ คำว่า วะ ที่ลงท้าย ในบริบทนี้เปรียบเสมือนคำว่า หว่า ซึ่งจะแปลว่า “อะไรหว่า” ยกตัวอย่างการใช้ในรูปประโยค เช่น “เขาเป็นอิหยังวะ” หมายถึง “เขาเป็นอะไรหว่า” จากการได้ลองสอบถามกลุ่มคนที่เริ่มหันมาใช้ศัพท์คำนี้เยอะขึ้น พบว่ากลุ่มคนที่ใช้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าศัพท์คำนี้ สามารถสื่ออารมณ์ให้เห็นภาพได้ดีกว่าการพูดภาษากลางแบบธรรมดาที่เคยใช้ นอกเหนือจากการใช้เพื่อบรรยายอารมณ์ความรู้สึกในโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ยังสามารถพบได้ว่าคำนี้ได้แพร่หลายออกไปและถูกใช้ในสังคมบทสนทนาจริงอีกด้วย ทำให้เราสังเกตได้ว่าการมีภาษาถิ่นผสมกับภาษากลางในวงสนทนาวงหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังเป็นการเสริมสร้างอรรถรสและสร้างความเข้าใจที่ง่ายต่อการสื่อสาร ทำให้การสื่อสารนั้นมีมิติและสีสันมากขึ้นไปอีก
ความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงของการใช้ภาษาถิ่น
อย่างไรก็ตามเหรียญมีสองด้าน มุมมองมีได้หลายมุมมองดังเช่นที่กล่าวไป ผู้ใช้ภาษาถิ่นเก่าแก่บางคนก็เกรงว่าจะเป็นการทำให้ความเป็นต้นฉบับของภาษาถิ่นนั้นค่อยๆผิดเพี้ยนไปจากบริบทที่เคยใช้เนื่องจากการที่นำไปใช้รวมกับภาษากลางบ่อยๆ และรวมถึงทางผู้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางเองก็เกรงว่า การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องจะถูกสิ่งเหล่านี้กลืนกินและผิดเพี้ยนไปจนในอนาคตเด็กๆจะเรียนรู้ภาษาที่ผิด และใช้ผิดรูปแบบผิดบริบทไปเสียหมด
แท้จริงแล้วฉันคิดว่า เราควรเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการใช้ภาษาในวงสนทนาในชีวิตจริงของเรา เพื่อให้เข้าใจมุมมองทั้งทางบวกและทางลบของเรื่องนี้ด้วยใจที่เปิดกว้างไว้ก่อน ไม่มีอะไรที่ดีและถูกต้องไปเสียทุกอย่าง และไม่มีอะไรที่ผิดไปเสียหมด ยังมีคำภาษาถิ่นอีกหลายคำที่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในวงสนทนา ทั้งนี้การผสมผสานจากใช้ภาษาถิ่นยังช่วยลดช่องหว่างระหว่างความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมที่เคยมี การนำทั้งข้อดีและข้อเสียจากทั้งสองมุมมองมาปรับใช้เข้าด้วยกันจะทำให้เราพบเหตุผลอันซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของเรื่องนี้เอง
มิเพียงแต่การผสมผสานทางด้านคำของการใช้ภาษาในปัจจุบันที่ทำให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับศัพท์ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา มันยังทำให้เราเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งหรือยึดติดกับอะไรเดิมๆมากจนเกินไป อย่างที่เราต่างทราบดีว่า สิ่งพิเศษสิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาษานั้นไม่มีวันตาย เพราะภาษาเป็นสิ่งที่ดิ้นได้ไม่รู้จบ ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมายึดติดและตีตราว่าเป็นความถูกต้องสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา สิ่งเหล่านั้นต่างเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ภาษาเองก็เช่นกัน ตัวมันเองสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราต้องตระหนักไว้เสมอก็คือ ในทุกความเปลี่ยนแปลงนั้น ยังคงมีหลักการและรากฐานที่มั่นคงจากในอดีตไว้อยู่ เรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องไว้เป็นพื้นฐานและเปิดรับสิ่งใหม่เข้ามาเพื่อเป็นสีสันเพิ่มเติม ฉะนั้นเอง เราก็จะได้เรียนรู้ทั้งข้อดีและข้อเสียจากมัน และสามารถนำไปใช้ในบริบทที่ถูกต้องตามกาลเวลาได้
ผู้เขียน
พรชนก วัฒนาณุฐการ (ปู)
ผู้ช่วยฝ่ายการตลาด